วันพฤหัสบดีที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

ขนมใส่ไส้


ขนมใส่ไส้




ขนมใส่ไส้เป็นขนมไทยที่นับวันจะหาทานได้ยากยิ่งขึ้น เนื่องจากกรรมวิธีในการทำและวัสดุ เช่นใบตอง ใบมะพร้าว หาได้ยาก แต่ก็เป็นขนมไทยที่มีรสชาติอร่อยจริงๆ



สูตรขนมใส่ไส้


• เวลาในการทำ 120 นาที
• ส่วนผสมสำหรับ 30 ห่อ


วัตถุดิบขนมใส่ไส้

ไส้ขนม
1. น้ำตาลปี๊ป 200 ก.
2. เกลือป่น ½ ชช.
3. มะพร้าวทึนทึกขูดเส้นยาว
ตัวแป้ง
4. แป้งข้าวเหนียว 350 ก.
5. น้ำใบเตยปั่นละเอียด 300 มล.

หน้าขนม
6. กะทิ 800 มล.
7. เกลือป่น 1 ชช.
8. แป้งข้าวเจ้า 80 ก.
9. กลิ่นมะลิ 1 ชช.
10. ไม้กลัด 30 อัน


วิธีทำขนมใส่ไส้


1. นำใบเตยไปล้างน้ำให้สะอาดและเช็ดให้แห้ง จากนั้นนำใบเตยไปลนไฟให้นิ่ม
2. นำมะพร้าว เกลือ น้ำตาลปี๊ป ไปกวนรวมกันในกระทะทองเหลือง ใช้ไฟอ่อนๆประมาณ 20 นาที จนส่วนผสมของไส้เริ่มแห้ง ปิดไฟและพักไว้ให้เย็น
3. ผสมแป้งข้าวเหนียวและน้ำใบเตยเข้าด้วยกัน นวดจนแป้งเริ่มเป็นก้อนเนียน คลุมปิดก้อนแป้งด้วยฝาหรือพลาสติกแรป
4. นำกะทิ ¼ ของกะทิทั้งหมด ผสมกับแป้งข้าวเจ้า เกลือป่น กลิ่นมะลิ ลนจนกระทั่งแป้งไม่เป็นเม็ด เติมกะทิส่วนที่เหลือลงไป เปิดไฟอ่อนๆ และคนไปเรื่อยๆจนกะทิเริ่มเดือดและเหนียวข้น พักไว้ให้เย็น
5. ปั้นใส่ให้เป็นลูกกลมขนาด 1 นิ้ว จากนั้นปั้นแป้งให้เป็นลูกกลมขนาด 1 1//2 นิ้ว แผ่แป้งให้แบนและวางไส้ลงตรงกลาง ห่อไส้ขนมให้มิด
6. วางใบตองซ้อนกันโดยใบเล็กอยู่ด้านบน ประกบใบตองให้นวลตองชนกัน วางขนมที่ปั้นแล้วลงตรงกลางใบตอง ตักหน้ากะทิราดลงไป 1 ชต. พับใบตองให้เป็นทรงสูง คาดทับด้วยใบมะพร้าวและกลัดด้วยไม้กลัด

7. นึ่งในน้ำเดือดจัด 30 นาที พักไว้ให้เย็นก่อนเสิร์ฟ


ขอขอบคุณ FoodTravelTVChannel

ทับทิมกรอบ


เมนูอาหาร :ทับทิมกรอบ
ขนมหวานยอดนิยมของไทยอีกหนึ่งชนิด ถูกปากไม่ว่าจะเป็นคนไทยหรือต่างชาติ ใครที่ชอบกินแล้วหาเจ้าอร่อยๆไม่ได้ ลองเข้าครัวทำกินเองดูครับ แล้วจะรู้ว่าทำไม่ยากแล้วยังสนุกด้วยครับ ทับทิมกรอบใส่น้ำแข็งไสเย็นๆกินตอนร้อนๆ อร่อยชื่นใจ


ส่วนประกอบ

1.กะทิ 400 มล.
2.น้ำตาลทราย 120 กรัม
3.เกลือ 1 ชช.
4.แห้ว 300 กรัม
5.แป้งมัน 500 กรัม
6.สีผสมอาหารสีแดง 1/2 ชช. (ชนิดน้ำ)
7.ใบเตย 3 ใบ
8.น้ำเปล่า 1 ถ้วย







วิธีทำ

1.หั่นแห้วเป็นลูกเต๋า ขนาด 1 ซม.
2.นำสีผสมอาหารไปผสมกับน้ำเปล่า จากนั้นเทลงไปในชามแห้วคลุกให้สีติดตัวแห้วจนทั่ว ทิ้งไว้ 10 นาที
3.นำกะทิไปตั้งไฟ ตามด้วยใบเตย , น้ำตาลทราย , เกลือ ต้มให้เดือดเล็กน้อย พักไว้ให้เย็น
4.รินน้ำสีแดงที่แช่แห้วไว้ทิ้งไป ตักแห้วลงไปคลุกกับแป้งมันให้ทั่ว
นำตะแกรงตาห่างมาร่อนแห้ว เพื่อขจัดเศษแป้งส่วนเกินทิ้งไป

5.ต้มน้ำให้เดือด นำแห้วลงไปต้มจนสุก ประมาณ 10 นาที ตักแห้วขึ้นมาพักในน้ำเย็นจัด
6.ตักทับทิมกรอบเสริฟ์พร้อมน้ำกะทิแช่เย็น เป็นอันเสร็จ


ขอขอบคุณ FoodTravelTVChannel







































ไข่ม้วนแฮมชีส Ham Cheese Omelet



เมนูไข่ม้วนแบบญี่ปุ่นอาจจะจำเจ แต่วันนี้เราเพิ่มความเก๋ให้เมนูไข่ม้วน ด้วยแฮม ชีส ผักต่างๆ จนกลายมาเป็นเมนู ไข่ม้วนแฮมชีส น่ารับประทานสุดๆ ยิ่งทานคู่กับข้าวสวยร้อนๆ ละก็งานนี้ไม่มีเหลือ


สำหรับ 2-3 ที่

ระยะเวลา 15 นาที


ส่วนประกอบ

1. ไข่ไก่ 2 ฟอง

2. แฮม 2 แผ่น

3. เชดด้าชีส 2 แผ่น

4. แครอทหั่นเต๋าลวกสุก 2 ช้อนโต๊ะ

5. หน่อไม้ฝรั่งหั่นชิ้นเล็กลวกสุก 2 ช้อนโต๊ะ

6. เกลือป่น 1/2 ช้อนชา

7. น้ำเชื่อม 1-2 ช้อนชา

8. น้ำมันพืช เล็กน้อย






วิธีทำ

1. นำแฮมและชีสวางซ้อนกันหั่นเป็นเส้นยาวพักไว้ ตอกไข่ตีให้เข้ากัน ปรุงรสด้วยเกลือป่นและน้ำเชื่อม คนให้เข้ากันอีกครั้ง

2. ตั้งกระทะใช้ไฟอ่อน นำสำลีหรือแปลงทาน้ำมันที่ก้นกระทะเล็กน้อย แบ่งไข่เป็น 4 ส่วนนำส่วนแรกเทลงกระทะ นำแฮม ชีส แครอทและหน่อไม้ฝรั่งใส่ลงไป พอไข่เริ่มสุกม้วนไข่ให้เป็นท่อน 3. จากนั้นนำส่วนที่ 2,3 และ 4 เทตามลงไปโดยให้เชื่อมกับชิ้นไข่ที่ม้วนไว้จนไข่ทั้งหมดสุกดี จากนั้นพักไข่ให้เย็น ประมาณ 15-20 นาที แล้วจึงหั่นเป็นชิ้น เสิร์ฟพร้อมกับข้าวสวยร้อนๆ


ขอขอบคุณ FoodTravelTVChannel

วันอาทิตย์ที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2557

วิธีดูแลผิวสำหรับคนนอนดึก


วันนี้จะขอพูดถึงเรื่องการดูแลผิวให้กับสาวกผู้ที่ชอบนอนดึกเป็น ประจำ เพราะจะสังเกตุได้ว่าพักหลังๆ มานี้ รู้สึกว่าผิวหยาบกระด้างมาขึ้นทุกทีๆ เลยไปหา Trick ดีๆ มาฝากกันครับ
1.เวลาที่เหมาะสำหรับการนอน
สำหรับช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการนอนเพื่อความงาม และสุขภาพ ควรนอนก่อน 5 ทุ่ม และหลับให้สนิท จนกระทั่งถึงตี 2 แต่บางครั้งเราก็ทำแบบนั้นไม่ได้ทุกคืน ที่สำคัญ การตื่นนอนแต่เช้าจะดีต่อสุขภาพมากกว่าด้วยค่ะ แต่ถ้าเลี่ยงไม่ได้จริงๆ ก็ควรมีการดูแลตัวเองเพิ่มมากขึ้นจากปกติ เพื่อให้สุขภาพผิวของเราสมบูรณ์พร้อมสำหรับวันต่อไปค่ะ
ถ้าต้องนอนดึก ควรบำรุงผิวด้วยมาส์กบำรุงผิวหน้าก่อนนอนใช้เวลาประมาณ 5-10 นาทีเท่านั้น จะช่วยได้มากเลยล่ะค่ะ โดยเฉพาะบริเวณรอบดวงตา บำรุงด้วยมาส์กที่ทำไว้สำหรับบำรุงผิวรอบดวงตาเป็นพิเศษ เพราะเวลาที่เรานอนดึกนั้น ความอ่อนล้าจะมาสะสม และแสดงออกที่รอบดวงตามากกว่าปกติ ถ้าผิวดูหยาบกร้าน ควรใช้มาส์กที่เพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวอีกครั้ง จะทำให้ผิวหน้าของเราดูดีเหมือนไม่ได้นอนดึกเลยล่ะค่ะ
2.ล้างเครื่องสำอางให้สะอาดหมดจด
ไม่ว่าคุณจะกลับดึกแค่ไหน สิ่งสำคัญที่จะต้องทำทุกครั้ง ก็คือ ล้างเครื่องสำอางให้สะอาดหมดจด เพื่อให้ผิวได้พักผ่อน และสัมผัสกับอากาศบ้างในเวลากลางคืน นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันสิ่งสกปรกที่จะมาอุดตันตามรูขุมขน โดนเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อผิวของเราอ่อนแอจากการนอนดึกแล้วเนี่ย สิวจะเกิดขึ้นได้ง่ายมาก เพราะแบบนี้นี่เอง สิวพากันมาเดินพาเหรดบนหน้า เจ็บใจนัก 555
3.ใช้น้ำอุ่นจัดและน้ำเย็นสลับกันในการล้างหน้าการที่เรานอนดึกนั้น การไหลเวียนของเลือดจะไม่ค่อยดีนัก ควรกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดด้วยการล้างหน้าด้วยน้ำอุ่น สลับกับน้ำเย็น จะทำให้ผิวดูเปล่งปลั่ง สดใส เพราะเมื่อผิวโดนน้ำอุ่น จะขยายตัว ทำให้สิ่งสกปรกที่ติดอยู่หลุดออก และเมื่อใช้น้ำเย็น รูขุมขนก็จะกระชับเข้า ดังนั้น เราควรเริ่มต้นด้วยน้ำอุ่น จบด้วยน้ำเย็นค่ะ
ไม่ว่าจะเป็นผิวแบบไหน การคืนความชุ่มชื้นให้กับผิวนั้นสำคัญมากที่สุด เพราะฉะนั้นเวลาที่เราเลือกซื้อผลิตภัณฑ์บำรุงผิว ต้องเลือกที่คืนความชุ่มชื้นให้กับผิว และบำรุงลึกถึงผิวชั้นในเป็นสำคัญค่ะ
4.ห้ามรับประทานอาหารทอดหลังเที่่ยงคืนเด็ดขาด
เพียงแค่การนอนดึกก็ไม่ดีต่อผิวอยู่แล้ว ถ้ายิ่งรับประทานอาหารที่มีน้ำมันมากเข้าไปอีก จะทำให้มีสิวเกิดขึ้นแน่นอน เนื่องจากร่างกายจะขับไขมันส่วนเกินออกมาทางรูขุมขน นอกจากนี้ ก๋วยเตี๊ยว ของหวาน ชา และกาแฟ ก็ไม่ควรแตะต้องด้วยเช่นกัน หากว่าหิวจนทนไม่ไหวจริงๆ แนะนำให้รับประทานผลไม้จะดีกว่าค่ะ
ที่มา : http://www.bloggang.com/viewdiary
ขอบคุณภาพประกอบ : http://www.photos.com/

วันพุธที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2557

5 โรคร้าย ที่เกิดจากการใช้ “คอมพิวเตอร์”

             
 
            สาวๆ เคยถามตัวเองบ้างมั้ยเอ่ยว่าในหนึ่งวันเนี่ย สาวๆ ใช้เวลาหน้าคอมพิวเตอร์เป็นเวลาทั้งหมดกี่ชั่วโมง ?? บางคนเริ่มใช้คอมพิวเตอร์ตั้งแต่กลับมาจากโรงเรียน ประมาณ 5 โมง ลากยาวไปจนถึงเที่ยงคืน! นับๆ  ดูแล้ว น้องๆ บางคนต้องใช้เวลาหน้าจอคอมพิวเตอร์ถึง 7-8 ชั่วโมงต่อวันเลยทีเดียว! เอ๊… แล้วสาวๆ เคยสังเกตตัวเองมั้ยคะว่าเวลาที่เรานั่งใช้คอมพิวเตอร์ไปนานๆ เนี่ย เรามักจะมีอาการปวดไหล่ ปวดคอ และปวดหลัง รวมถึงอาการปวดหัวและปวดตาด้วย! นั่นคือผลของการใช้คอมพิวเตอร์เป็นระยะเวลานานเกินไปนั่นเองค่ะ งั้นเรามาทำความรู้จักกับโรคที่จะเกิดขึ้นจากการใช้งานคอมพิวเตอร์และมาหาแนวทางป้องกันไปพร้อมๆ กันดีกว่า :]

 
โรคการกดทับเส้นประสาทบริเวณข้อมือ (Carpel Tunnel Syndrome)
สาวๆ เชื่อหรือไม่คะว่าโรคนี้พี่เตยก็เป็นค่ะ!! T______T อาการของโรคนี้คือปวดร้าวบริเวณข้อมือ ฝ่ามือ และนิ้วมือ บางคนอาจมีอาการชา กำมือแน่นๆ ไม่ได้ หยิบจับของแล้วทำร่วงหล่นตลอด สาเหตุของโรคนี้เกิดจากท่าทางการวางมือขณะที่เราจับเมาส์และแป้นคีย์บอร์ดค่ะ ด้วยความเคยชินทำให้สาวๆ หลายคนวางมือในท่า “กระดกข้อมือ” ค้างไว้เวลาใช้คอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน ทำให้เกิดอาการข้อมืออักเสบขึ้นได้
         ทางแก้ปัญหาก็คือต้องปรับเปลี่ยนท่านั่งและการวางมือเวลาใช้คอมพิวเตอร์ให้ถูกต้องค่ะ โดยท่าวางมือที่ถูกต้องขณะใช้คอมพิวเตอร์ก็คือ ต้องวางมือให้ขนานไปกับพื้นโต๊ะ ไม่งอหรือกระดกข้อมือเวลาที่ใช้เม้าส์และแป้นคีย์บอร์ดค่ะ นอกจากนี้สาวๆ ไม่ควรใช้คอมพิวเตอร์ติดต่อกันเป็นเวลานานๆ ควรลุกไปพักบ้างทุกๆ 1 ชั่วโมงเพื่อเป็นการเปลี่ยนอิริยาบถค่ะ

          แต่ถ้าอาการต่างๆ ยังไม่ทุเลาลง พี่เตยแนะนำว่าควรไปปรึกษาคุณหมอดีกว่าค่ะ เพราะบางคนอาจต้องรักษาด้วยวิธีการกายภาพบำบัดหรือผ่าตัด ทางที่ดีคือควรรีบสังเกตอาการของตัวเอง และไม่ควรนิ่งนอนใจ รีบไปพบคุณหมอจะดีกว่าน้า


อาการปวดหลัง (Back Pain)
อาการปวดหลังมักเกิดจากการนั่งผิดท่าเป็นเวลานาน รวมถึงท่านั่งที่ไม่สบายเวลาใช้คอมพิวเตอร์ด้วยค่ะ สาวๆ หลายคนชอบนั่งไขว่ห้างเวลาใช้คอมพิวเตอร์ สาวๆ รู้รึเปล่าเอ่ยว่าท่านั่งไขว่ห้างเนี่ยทำให้ปวดหลังสุดๆ เลย ถ้าไม่อยากปวดหลัง เราต้องเริ่มกันที่ท่านั่งที่ถูกต้องในการใช้คอมพิวเตอร์ค่ะ

                     

ท่านั่งในการใช้คอมพิวเตอร์ที่ถูกต้อง
* เท้าทั้งสองข้างต้องวางแนบสนิทบนพื้น
* ไหล่ต้องปล่อยสบาย ไม่ยกไหล่หรือห่อไหล่ขณะใช้คอมพิวเตอร์
* เวลาใช้คอมพิวเตอร์ต้องไม่ก้มหน้ามากเกินไป ควรอยู่ในระยะ 50-70 องศา
* ควรลุกขึ้นมายืดเส้นยืดสายทุกๆ 1 ชั่วโมง เพื่อเป็นการเปลี่ยนอิริยาบถและเป็นการพักสายตา
* หลังต้องแนบชิดกับพนักพิงเก้าอี้ และนั่งให้เต็มก้น ไม่ควรนั่งแค่ครึ่งเดียวหรือหมิ่นเหม่
* ปรับระดับความสูงของเก้าอี้ให้พอดีกับระดับโต๊ะคอมพิวเตอร์ ไม่ให้สูงเกินไปหรือเตี้ยเกินไป


รคเกี่ยวกับสายตา (Computer Vision Syndrome)
เวลาที่เราต้องจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานๆ มีใครมีอาการตาพร่าหรือปวดตาบ้างมั้ยคะ?? พี่เตยมีอาการปวดตาเวลาที่ใช้คอมพิวเตอร์นานเกินไปค่ะ บางคนอาจมีอาการน้ำตาไหล ปวดศีรษะ และตาแดงร่วมด้วย นั่นแสดงให้เห็นว่าเราใช้คอมพิวเตอร์นานเกินไป! จริงๆ แล้ว เราควรพักสายอย่างน้อยทุกๆ หนึ่งชั่วโมงด้วยการนั่งหลับตาซักพัก (แต่อย่าแอบหลับนะ ^^’’) หรือลุกไปเข้าห้องน้ำล้างหน้าล้างตาซักสิบนาทีแล้วค่อยกลับมาทำงานต่อค่ะ แต่เหนือสิ่งอื่นใด การจัดท่านั่งและระยะการมองหน้าจอคอมพิวเตอร์คือสิ่งที่สำคัญที่สุดค่ะ

                   
ใช้คอมพิวเตอร์อย่างไรไม่ให้ปวดตา ??
1. อย่าปรับแสงหน้าจอคอมพิวเตอร์ให้พอดี ไม่จ้าเกินไป
2. ควรนั่งใช้คอมในที่ที่มีแสงสว่างมากพอ บางคนชอบปิดไฟในห้องนอน แล้วเล่นคอมพิวเตอร์
    ในห้องมืดๆ ทำแบบนี้เสียสายตามากๆ เลยค่ะ
3. กระพริบตาบ่อยๆ เพื่อให้มีน้ำมาหล่อเลี้ยงลูกตา ทำให้ไม่เคืองตาค่ะ
4. อย่าลืมเปลี่ยนอิริยาบถบ่อยๆ เมื่อรู้สึกเคืองตา ปวดตา หรือแสบตา ให้พักสายตาทันที อย่า
    ฝืนทำงานต่อ
5. ตาที่มองหน้าจอคอมพิวเตอร์ต้องห่างจากหน้าจอประมาณ 45-70 เซนติเมตร
6. ปรับขนาดตัวหนังสือบนหน้าจอให้เหมาะสม ไม่เล็กเกินไป เพราะจะทำให้เราต้องเพ่งตามอง
    และอาจทำให้ปวดตาได้ค่ะ

สาวๆ คนไหนที่ต้องใช้คอมพิวเตอร์เป็นเวลานานๆ อย่าลืมพักสายตาบ่อยๆ ถ้ามีอาการปวดตาร่วมกับปวดหัวด้วย ควรไปตรวจวัดสายตา เพราะสายตาอาจจะสั้นขึ้นโดยที่ไม่รู้ตัวก็ได้ค่ะ แต่ถ้าตัดแว่นแล้ว พักสายตาก็แล้ว อาการปวดตายังไม่ดีขึ้น พี่เตยคิดว่าสาวๆ ควรไปพบคุณหมอเพื่อตรวจหาสาเหตุและรีบทำการรักษาค่ะ เรามีดวงตาเพียงแค่คู่เดียว เพราะฉะนั้นเราต้องดูแลรักษาดวงตาของเราให้ดีที่สุด

อาการปวดหัว (Headache Problems)
อาการปวดหัวมักเกิดขึ้นบ่อยๆ กับคนที่ต้องใช้คอมพิวเตอร์เป็นเวลานานๆ สาเหตุหลักๆ มักเกิดจากความเครียด การมองหน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน แสงหน้าจอคอมพิวเตอร์สว่างมากเกินไป รวมถึงการพักผ่อนไม่เพียงพอ ล้วนแต่เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการปวดหัวขึ้นได้ทั้งสิ้น ถ้าเราจำเป็นต้องใช้คอมพิวเตอร์เป็นเวลานานๆ เราต้องมีวิธีดูแลตัวเองเพื่อป้องกันอาการปวดหัวค่ะ

* อาการปวดหัวส่วนมากมักเกิดจากปัญหาอาการปวดตาเวลาใช้คอมพิวเตอร์ค่ะ เพราะฉะนั้นเราต้องเริ่มจากการดูแลดวงตาของเราก่อนค่ะ อย่าลืมปรับแสงหน้าจอให้สว่างพอเหมาะ อย่าเพ่ง/จ้องหน้าจอนานเกินไป ปรับตัวหนังสือให้มีขนาดพอดี พักสายตาบ้างเมื่อดวงตาอ่อนล้า

* อย่าอดนอน บางคนต้องทำการบ้านตอนกลางคืน กว่าจะรู้ตัวเวลาก็ล่วงเลยเข้าสู่วันใหม่เสียแล้ว แบ่งเวลาดีๆ ถ้าได้การบ้านมา ต้องรีบทำ อย่าหมักดองไว้ มิเช่นนั้นต้องมาโหมทำทีเดียวจนไม่มีเวลาได้พักผ่อนน้า การพักผ่อนไม่เพียงพอก็ทำให้ปวดหัวได้เช่นกัน

บางคนเล่นคอมพิวเตอร์จนเพลินไม่ยอมกินข้าวกินปลา - -‘’ การที่สาวๆ นั่งเพลินไม่ยอมลุกไปเข้าห้องน้ำ ไม่ยอมดื่มน้ำเนี่ย เป็นการทำร้ายร่างกายสุดๆ เลยค่ะ ดีไม่ดีจะเป็นโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบแถมมาด้วยนะ


* ความเครียดก็เป็นอีกสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการปวดหัวเหมือนกันค่ะ ยิ่งช่วงใกล้สอบทำให้ต้องรีบเคลียร์งานและการบ้านที่ได้รับมอบหมายมาทั้งเทอมแข่งกับเวลา อาจทำให้สาวๆ เกิดความเครียด รวมถึงสภาวะที่กดดันต่างๆ บวกกับการต้องใช้คอมพิวเตอร์เป็นเวลานานๆ ก็ทำให้สาวๆ ปวดหัวได้เช่นกันค่ะ เพราะฉะนั้นอย่าลืมแบ่งเวลาดีๆ ค่อยๆ เคลียร์การบ้าน อย่าโหมทำคืนเดียว ไม่งั้นล่ะก็..ร่างกายจะรับไม่ไหวน้า


พี่เตยเคยทำ “อาการปวดหัวในวัยรุ่น” ไว้ในคอลัมน์ Health Me สาวๆ ที่มีปัญหาปวดหัวบ่อยๆ ลองแวะเข้าไปอ่านได้นะคะ บางครั้งอาการปวดหัวอาจไม่ใช่แค่ปวดหัวธรรมดาก็ได้ค่ะ นอกจากใช้คอมพิวเตอร์บ่อยๆ แล้ว อย่าลืมสังเกตอาการเจ็บป่วยเล็กๆ น้อยๆ ของตัวเองด้วย

                       
โรคนอนไม่หลับ (Insomnia)
นอกจากปัญหาของความเครียดและอาการปวดหัวแล้ว ปัญหาการนอนไม่หลับจากการใช้คอมพิวเตอร์ก็เป็นอีกหนึ่งโรคที่หลายคนเป็นอยู่แต่อาจจะไม่รู้ตัวค่ะ มีการวิจัยแล้วพบว่าความสว่างของหน้าจอมีผลต่อการนอนไม่หลับด้วย! จริงๆ แล้วไม่ใช่แค่การใช้คอมพิวเตอร์ แต่รวมถึงการใช้สมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตต่างๆ ด้วย

เมลาโทนิน (Melatonin) คือฮอร์โมนที่ช่วยควบคุมการนอนหลับและเวลาตื่นของมนุษย์ จากการศึกษาของนักวิจัยพบว่าการที่เราสัมผัสกับแสงของหน้าจอคอมพิวเตอร์/โทรศัพท์ต่างๆ ทำให้จำนวนของเมลาโทนินลดลง นอกจากนี้การใช้คอมพิวเตอร์ในช่วงกลางคืนยังทำให้ร่างกายรู้สึกตื่นตัว และยังทำให้นาฬิกาชีวิตเปลี่ยนแปลงด้วยค่ะ นี่คือสาเหตุที่ทำให้เรานอนไม่หลับนั่นเอง!


การใช้คอมพิวเตอร์เป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้จริงๆ สำหรับยุคสมัยนี้ ถ้าเลี่ยงไม่ได้จริงๆ เราก็ต้องหาทางดูแลสุขภาพของตัวเองให้ดีที่สุดค่ะ อย่าลืมสังเกตอาการไม่สบายต่างๆ ของตัวเองกันด้วยนะคะ ที่สำคัญคือต้องลิมิตเวลาการใช้คอมพิวเตอร์ของตัวเองโดยเฉพาะสาวๆ ที่ยังเรียนอยู่ บางคนติดเกม ติด facebook จนไม่ยอมนอนกันเลยทีเดียว แบบนี้ก็ไม่ไหวเหมือนกันนะ สุขภาพดีไม่มีขาย อยากได้ต้องทำเองค่ะ เรายังอายุน้อย ยิ่งต้องรีบดูแลตัวเอง ก่อนที่จะสายเกินไปนะคะ 
 

ขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก
คณะกายภาพบำบัด มหาวิทยาลัยมหิดล
คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล
โรงพยาบาลเปาโลเมโมเรียล
คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
คณะแพทยศาสตร์ วชิรพยาบาล
naturallifechiropractic.com
webmd.com
elertgadget.com

วันจันทร์ที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2557

10 คำพูดปลอบใจ ใช้เมื่อไรก็ได้ผล

10 คำพูดปลอบใจ ใช้เมื่อไรก็ได้ผล






1.มองโลกในแง่ดีเข้าไว้   Feel good  60%
คำปลอบใจประจำตัวสาวคิดบวก คำพูดที่ทำให้รู้สึกอุ่นๆ อยู่ในใจ :) นำไปใช้เมื่อไรก็ได้ผล มองโลกในแง่บวกเข้าไว้ แล้วทุกอย่างจะดีขึ้นเอง
2.ปัญหาทุกอย่าง มีทางออกเสมอ   Feel good  75%
คำพูดปลอบใจที่ใช้เรียกสติให้หยุดฟูมฟายและคิดหาทางออก เป็นคำพูดปลอบใจประจำตัวสาวมั่นทั้งหลาย บางทีเวลาที่เรามีปัญหาพี่ผึ้งเชื่อว่าสาวๆ หลายคนอยากไปคำปลอบใจแบบตรงไปตรงมา :) จริงไม๊เอ่ย???
3.ช่างมัน ไม่เป็นไรนะ Feel good 60%
คำพูดปลอบใจจากสาวๆ ประสบการณ์ชีวติสูงๆ ที่ค่อนข้างมองปัญหาทะลุปุโปร่ง เป็นคำพูดปลอบใจที่คล้ายจะไม่แยแสอะไร แต่ที่จริงแล้วลึกซึ้งมากคลายกับเป็นการบอกเพื่อนสาวเป็นนัยว่า “หยุดฟูมฟายได้แล้ว” ถือเป็นคำปลอบใจที่ดีและหักดิบมากในเวลาเดียวกัน
4.ฉันเข้าใจความรู้สึกของเธอดี Feel good 60%
จำได้ว่าสมัยละอ่อน เวลาที่เราเสียใจเพื่อนสาวชอบพูดว่า “เข้าใจ เข้าใจ ฉันเข้าใจความรู้สึกของเธอดี” แต่พอโตขึ้นมาก็คิดว่า ที่จริงแล้วไม่มีใครเข้าใจความรู้สึกของกันและกันได้อย่างแท้จริงหรอ เพราะแต่ละคนก็เจอะเจอรูปแบบปัญหาที่แตกต่างกันออกไป แต่คำพูดประโยคนี้ก็ยังถือเป็นคำพูดปลอบใจที่น่ารักและทำให้ยิ้มได้เหมือนกันค่า
5.พรุ่งนี้ทุกอย่างจะดีขึ้น Feel good 65%
อีกหนึ่งคำพูดติดปากสาวโลกสวย คิดบวกแบบพี่ผึ้ง >////< ดีกรีความซาบซึ้งอาจจะไม่พุ่งปรี๊ดมากแต่รับรองได้ใจเพื่อนสาวชัวร์ ลองพูดประโยคนี้พร้อมหันไปสบตาเพื่อนสาวแล้วยิ้มมุมปากเบาๆ รับรองเพื่อนสาวของเราฟิวกู๊ดแน่นอนจ้า



เมื่อวานมันผ่านไปแล้ว พรุ่งนี้เราก็ยังไม่รู้ มาทำวันนี้ให้มีความสุขดีกว่า เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็ดีเอง
6.ใจเย็นๆ อย่าคิดมาก Feel good  70%
ประโยคปลอบใจจากบรรดาสาวๆ ที่มองปัญหาได้ทะลุปุโปร่ง และสาวๆ นักคิดที่สามารถใช้ลำดับขั้นตอนการแก้ปัญหาได้เป็นอย่างดี สาวๆ พวกนี้มักจะใช้คำพูดปลอบใจเพื่อนสาวแบบหักดิบแต่ก็ทำให้รู้สึกดีขึ้นได้ในเวลาเดียวกัน พวกเธอชั้นเซียนจริงๆ
7.มีฉันอยู่ข้างๆ เสมอ Feel good 80%
เป็นอีกหนึ่งในคำพูดปลอบใจที่อ่อนโยนและอบอุ่นที่สุด ให้ความรู้สึกของเพื่อนรักเพื่อนแท้ได้อย่างดีเลยทีเดียว เป็นคำพูดที่คำให้คนรับฟังรู้สึกมีที่พึ่งพิง
8.สู้ๆ เข้มแข็งไว้นะ Feel good 80%
เป็นอีกหนึ่งประโยคปลอบใจและเป็นแรงผลักดันที่ดีได้ในเวลาเดียวกัน  ใครโดนประโยคนี้เข้าไปรับรองมีแรงฮึดสู้แก้ไขปัญหาหนักอกได้ชัวร์จ้า :)


ถ้าเพื่อนเสียใจ มักบอกเพื่อนว่า "อดทนนะ เดี๋ยวมันก็ผ่านไป"  ส่งเพลง แธม (TAM)
ของ stoondio ให้เพื่อนฟังค่ะ
9.แล้ววันดีๆ จะเป็นของเธอ Feel good 75%
สาวโลกสวยอีกหนึ่งประโยคนอกจากจะเป็นคำปลอบใจดีๆ แล้วยังเป็นคำพูดให้กำลังใจอีกต่างหาก  หากเพื่อนสาวหมดกำลังใจขึ้นมาเมื่อไร รับรองประโยคนี้ได้ผลมากค่ะ สบตาคู่ซี้จับไหล่เบาๆ พร้อมพูดว่า “แล้ววันดีๆ จะเป็นของเธอแน่นอน เชื่อฉันซิ”
10.ไม่มีคำพูด แค่นั่งอยู่ข้างๆ Feel  good 85%
การเป็นเพื่อนที่ดี และสิ่งที่ปลอบโยนความเศร้าได้ดีที่สุดอาจจะไม่ใช่คำพูดซื้งใจเสมอไปนะ แค่อยู่เป็นเพื่อนกันข้างๆ กัน ก็ทำให้เรื่องราวไม่สบายใจจางหายไปได้แล้วล่ะค่า 



วันเสาร์ที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2557

5 เคล็ดลับ เอาชนะ "ความขี้เกียจ"

5 เคล็ดลับ เอาชนะ "ความขี้เกียจ"



1. ความอ่อนเพลีย สะสม
สาวๆ เคยสังเกตุตัวเองบ้างไม๊เอ่ย??  เมื่อไรที่เราพักผ่อนไม่เพียงพอเราจะรู้สึกขี้เกียจ ไม่อยากลุกขึ้นทำอะไรแม้แต่อย่างเดียว  คุณโจ โรบินสัน ( Joe Robinson ) ผู้เขียนหนังสือเรื่อง Work to Live: the Guide to Getting a Life บอกไว้ว่า การลาพักร้อนหรืองีบหลับตอนกลางวันของชาวยุโรปที่ชาวอเมริกันมอง ว่าเป็นความขี้เกียจนั้น จริงๆ แล้วเป็นเคล็ดลับในการใช้ชีวิตของพวกเขาต่างหาก เพราะจากผลสำรวจพบว่า ชาวยุโรปอย่างน้อยสี่ประเทศใช้เวลาทำงานน้อยกว่าคนอเมริกัน แต่กลับได้งานมากกว่า  แบบนี้พวกเรามานอนกลางวันกันดีกว่า 
2. ความต้องการความสุขสบาย
เป็นธรรมดาของเราทุกๆ คน ที่อยากหาความสุขกายสบายใจให้กับตัวเอง แม้แต่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ก็ตาม ทุกครั้งเวลาที่เราต้องทำอะไรตามกฏระเบียบ เรามักจะรู้สึกขี้เกียจและมองว่าเป็นเรื่องลำบาก เช่น  การนอนตื่นเช้า การจำกัดอาหาร หรือการรับงานที่ยากขึ้น ฯลฯ เรามักจะผลัดวันประกันพรุ่ง เพียงเพื่อยืดระยะเวลาแห่งความสุขให้ยาวนานออกไป
3.พันธุกรรมและสารเคมีในสมอง
ไม่น่าเชื่อจริงๆ ว่าความขี้เกียจอยู่ในสายเลือด T^T ในปี 2008 ดร. เจ. ธิโมธี ไลท์ฟุต ( J. Timothy Lightfoot ) นักวิทยาศาสตร์การเคลื่อนไหวแห่งมหาวิทยาลัยนอร์ทแคโรไลนา ได้ทำงานวิจัยเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างยีนกับความกระฉับกระเฉง เพื่อที่จะพัฒนานักกีฬาให้ทำการฝึกซ้อมดีขึ้น ผล การทดลองสรุปว่า การที่คนคนหนึ่งรู้สึกกระฉับกระเฉงหรือเฉื่อยชาขึ้นอยู่กับปัจจัยทางพันธุ กรรมด้วย นั่นแสดงว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด และเป็นสิ่งที่เราไม่สามารถเลือกได้
4.การขาดแรงจูงใจ
แต่ถ้ามีแรงจูงใจนด้านลบ ก็จะทำให้ขี้เกียจได้เหมือนกันนะ เช่น เบื่อเพื่อน  , เบื่ออาจารย์ , นอยด์คุณแม่ เลยทำให้รู้สึกไม่อยากไปโรงเรียนเป็นต้น เพราะฉะนั้นแรงจูงใจเป็นสิ่งสำคัญมากค่า พยามหาให้เจอนะจ๊ะ




1.เลิกใช้คำว่า “เดี๋ยว” อย่างเด็ดขาด
“เดี๋ยว”  เป็นคำพูดที่แสดงออกถึงความขี้เกียจได้อย่างชัดเจนที่สุด เพราะฉะนั้นกระตุ้นความขยันในตัวเองอีกนิดด้วยการตัดคำว่า “เดี๋ยว” ออกจากจากระบบชีวิตตั้งแต่วันนี้เลย!!!!
2.เตรียมร่างกายให้พร้อมเสมอ
ทุกครั้งที่สุขภาพกาย และสุขภาพจิตรู้สึกสดชื่นแจ่มใส ทุกครั้งเราจะมีพลังงานอย่างเหลือเฟือ เพราะฉะนั้นเตรียมร่างกายและสมองให้พร้อม ทานอาหารที่มีประโยชน์และพักผ่อนให้เพียงพอ อย่างสม่ำเสมอนะจ๊ะ
3.รักในสิ่งที่ทำ
การที่เราได้ทำในสิ่งที่รัก แน่นอนว่าทำจะขยันและอยากที่จะทำในสิ่งนั้น แต่บางที่เราก็ไม่ได้ทำในสิ่งที่เรารักได้เสมอไป เพราะฉะนั้นหาข้อดีของสิ่งที่เราทำอยู่ให้ได้ และพยามทำใจยอมรับและรักในสิ่งนั้น เพื่อเป็นแรงผลักดันให้เราขยันและมีรองความสุขใรการทำสิ่งนั้น ถ้าทำได้รับรองว่าความขี้เกียจจะหายไปในพริบตาจ้า
4.หาแรงจูงใจ
การสร้างแรงบันดาลใจหรือแรงจูงใจ ในการทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ถือเป็นสิ่งสำคัญมากเลยค่า ลองคิดง่ายๆ เช่น ทำแล้วดีอย่างไร หรือ ทำเพื่อใคร ??? คำตอบของคำถามจะทำให้มีกำลังใจในการทำสิ่งต่างๆ มากขึ้น
5.สร้างระเบียบให้กับตัวเอง
ลองเขียนตารางบันทึกถึงกิจกรรมที่ต้องทำในแต่ละวันดูซิ เป็นอีกหนึ่งวิธีง่ายในการย้ำเตือนว่าในแต่ละวัน เราต้องทำอะไรบ้าง และมีสิ่งไหนที่ทำไปแล้ว ยังทำไม่เสร็จ และยังไม่ได้ทำ ถือเป็นการจัดระเบียบชีวิตง่ายๆ อีกแบบนะจ๊ะ